คุณจะรู้ได้ยังไงว่าสิ่งที่เกิดขึ้น มันดีหรือไม่ดีกันแน่?
ในตอนที่ผมเรียบจบและต้องมาเตะฝุ่น ตกงาน สมัครงานที่ไหนก็ไม่ได้งาน
ผมคิดว่าชีวิตมันโคตรแย่เลย… และไอ้สิ่งที่มันเกิดขึ้นกับผมมันคือเรื่องที่ “ไม่ดี” เอามากๆ
ผมเฝ้าแต่คิดว่า มันคือ”ฝันร้ายของชีวิต” ทำให้ผมเอง
ต้องเจ็บปวดจนแอบร้องไห้อยู่หลายต่อหลายครั้ง
จากคนหนุ่มผู้มีความมุ่งมั่นและมีความฝันคนหนึ่ง
ที่คิดว่าเมื่อเรียนจบมาแล้วจะดูแลพ่อแม่ และคนที่รักได้
แต่พอเอาเข้าจริง ผมกลับดูแลตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ!!!
แต่แล้วผมกลับพบว่า… เรื่องราวเหล่านั้น อาจไม่ใช่ฝันร้ายอย่างที่ผมคิด!!!
ก่อนอื่น ผมจะขออนุญาตแบ่งปันเรื่องราวดีๆ ที่ผมได้อ่านมากับคุณก่อนนะครับ
เรื่องราวของคนเลี้ยงม้า
ชายชราผู้หนึ่ง ที่ดูเหมือนจะมีทุกสิ่ง ทุกอย่างในชีวิตครบแล้ว
เขามีลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนหนึ่ง มีม้าที่ได้รับรางวัลอยู่หนึ่งตัว
และมีสิ่งต่างๆมากมายที่คนส่วนใหญ่ต้องการจะมี
แต่อยู่มาวันหนึ่งสิ่งมีค่าบางอย่างของเขาก็จากไป
นั่นคือม้าของเขาได้แหกคอกออกมา และวิ่งเตลิดหายไปในป่าที่อยู่ใกล้ๆ
แค่ชั่วพริบตาเขาก็เสียม้าที่มีค่ามหาศาลของเขาไป
เมื่อชาวบ้านรู้ข่าว ต่างก็พากันมาแสดงความเห็นใจอย่างสุดซึ้ง
ทุกคนบอกกับเขาว่า “ม้าของท่านหนีไปแล้ว ช่างโชคร้ายอะไรเช่นนี้”
เพื่อนบ้านพยามยามปลอบโยนชายชรา
แต่ผู้เฒ่ากลับตอบว่า “พวกท่านทราบได้อย่างไร ว่ามันคือ โชคร้าย”
อีก 2-3 วันต่อมา ม้าก็กลับมาบ้าน เพราะมันรู้ว่าที่นี่จะมีอาหาร และน้ำให้มันหายหิว
มันนำม้าป่าแสนสวย และมีค่ากลับมาด้วยถึง 12 ตัว
เมื่อเพื่อนบ้านทราบข่าวนี้ ต่างพากันมาแสดงความยินดี
และกล่าวว่า “ท่านช่างโชคดีอะไรเช่นนี้”
แต่ชายชราผู้นั้นกลับตอบว่า “ท่านทราบได้อย่างไรว่า มันคือโชคดี”
ในวันถัดมาลูกชายคนเดียวของเขาพยายามที่จะขี่ม้าป่าตัวหนึ่ง ในบรรดา 12 ตัวนั้น
เขาถูกสลัดตกลงมาขาหัก และกลายเป็นคนพิการตั้งแต่บัดนั้น
เมื่อเพื่อนบ้านรู้ข่าวต่างพากันมาแสดงความเสียใจและกล่าวว่า
“ลูกชายท่านต้องกลายเป็นคนพิการไปตลอดชีวิต ช่างโชคร้ายจริงหนอ”
แต่ชายชราผู้นั้น ก็กล่าวอีกเช่นเคยว่า “พวกท่านทราบได้อย่างไร ว่ามันคือโชคร้ายน่ะ”
อีก 1 ปี ต่อมา มีขุนศึกคนหนึ่งมาที่เมืองนี้
เพื่อเกณฑ์ ชายหนุ่มที่มีร่างปกติ แข็งแรง สมบูรณ์ทุกคนไปออกรบ
ยกเว้นลูกชายของชายชรา และชายหนุ่มทุกคนที่ถูกส่งไปรบนั้นตายหมด
“นิทานเรื่องนี้สอนอะไร… เราต่างไม่รู้หรอกว่า เมื่อไหร่เหตุการณ์ไหน
จะเป็นโชคดี หรือ โชคร้ายที่แท้จริง ฉะนั้นไม่ควรยึดติดกับสิ่งที่เกิดขึ้น
หากเราโชคดีจงอย่าหลงระเริงจนเกินไป หรือหากคราวร้ายก็อย่าได้ฟูมฟายจนขาดสติ”
ดีหรือไม่ดี ใครกำหนด?
ผมอ่านเรื่องนี้แล้วก็ทำให้ได้คิดเยอะเลยครับว่า….
ถ้าในตอนที่ผมเรียนจบมาใหม่ๆ และผมได้งานทำทันที
ถ้าผมได้มีเงินเดือนเยอะๆ ตั้งแต่ตอนนั้น ชีวิตผมตอนนี้จะเป็นยังไง?
และผมเชื่อว่าคงไม่มีใครการันตีได้หรอกจริงไหมครับว่า…
ถ้าตอนนั้นชีวิตผมมันโคตรดี๊ดี ขึ้นมาล่ะก็ ชีวิตผมตอนนี้จะดีกว่าปัจจุบัน
ผมอาจเป็น พนักงานประจำที่มีเงินเดือนที่ดี และมีชีวิตไปวันๆ ก็ได้
หรือผมอาจจะมีชีวิตตกอับและไม่ได้ทำตามความฝันเลย… ก็เป็นได้ใครจะรู้
แต่จากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตที่ผ่านมา ทำให้ในวันนี้…
ผมได้มีชีวิตตามที่ฝันเอาไว้… ผมได้ทำสิ่งที่รัก มีชีวิตที่มีความสุข
ได้บอกรักและกอดพ่อแม่ด้วยความอบอุ่น ได้มีครอบครัวที่สุขสบาย
ได้พบปะผู้คนดีๆ มีกัลยาณมิตรมากมาย ที่พร้อมจะช่วยเหลือกันและกัน
ได้สร้างสังคมของคนดีผ่านเทรนนิ่ง Amazing Life มากว่า 2 ปี เป็นสิบๆ รุ่น
ได้แชร์แนวคิดดีๆลงในเพจ Kitti Trirat ของผม มีผู้ติดตามหลายแสนชีวิต
ได้เป็นกำลังใจสำคัญในการเปลี่ยนแปลงชีวิตให้กับผู้คนหลากหลาย
ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นหรือเปล่าก็ไม่รู้…. หากผมไม่ได้ผ่านเหตุการณ์ในอดีตมา
ดังนั้นถ้ามองย้อนกลับไปดีๆ ผมควรจะสรุปว่าเหตุการณ์ที่เคยเกินขึ้นนั้น…
………………. มันดีหรือไม่ดีกันแน่ล่ะ?
สิ่งที่คนเลี้ยงม้าสอนผม
การอ่านเรื่องราวของคนเลี้ยงม้านี้ มันทำให้ผมได้เตือนสติตัวเองว่า…
“ให้เอาเวลาที่จะมาตัดสินว่าเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นมันดีหรือร้ายกันแน่?
ไปคิด และลงมือทำ เพื่อสร้างชีวิตให้ดีขึ้นกว่าเดิม ยังจะมีประโยชน์กว่า”
ดีหรือไม่ดีที่กำลังคิดน่ะ แท้ที่จริงแล้วมันก็แค่…….
สิ่งที่ผมเลือก “กำหนด” ขึ้นมาด้วยความคิด และมุมมองของตัวเองเท่านั้น!!
และสิ่งเดียวที่จะหยุดยั้งให้ชีวิตผมย้ำอยู่กับที่ได้ เมื่อเกิดเหตุการณ์แย่ๆ
ก็มีเพียงแค่ ความคิดแย่ๆ ที่ผมคอยตอกย้ำกับตัวเองเสมอๆ ว่า…
“ฉันโชคร้าย ฉันเจอแต่เรื่องไม่ดี ชีวิตฉันทำไมต้องเจอเรื่องแบบนี้ด้วย”
เพราะเมื่อผมเลือกมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยมุมมองใหม่ๆ และโฟกัสไปที่ความฝันว่า…
“แม้ครั้งนี้จะไม่ได้ตามฝัน แต่ครั้งหน้าฉันจะเก่งขึ้น และเข้าใกล้ความฝันขึ้นเรื่อยๆ”
ชีวิตผมก็ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งได้อีกต่อไป…..
แม้จะก้าวไปข้างหน้าได้ช้าบ้าง เร็วบ้าง แต่ผมก็แค่ไม่หยุดที่จะเดินต่อไปข้างหน้า
เพราะผมรู้ดีอยู่แล้วว่า…. สิ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างเส้นทางนี้
คือเครื่องวัดใจที่ทำให้ผมรู้ว่า… ผมคู่ควรกับความฝันที่สวยงามของผม!
ถ้ารู้งี้ ถ้ารู้งี้ ถ้ารู้งี้….. คงดีไปแล้ว
คนบางคนบอกกับตัวเองและผู้อื่นว่า…. “ถ้ารู้เรื่องนี้ ตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว ผมคงสำเร็จไปแล้ว”
ผมอยากถามว่า…. “คุณรู้ได้ยังไงว่าถ้าคุณรู้เรื่องนี้เมื่อ 10 ปี ที่แล้ว ชีวิตคุณจะดี?”
ผมเชื่อแบบนี้ครับว่า….
“สิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตในตอนนี้ คือสิ่งที่ดีที่สุด เพราะมันคือช่วงเวลาที่ใช่ของมัน
จงภาคภูมิใจ และเห็นคุณค่าของประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้
แล้วความภาคภูมิใจ และการรู้คุณค่าของประสบการณ์ในปัจจุบันนี่แหละ
จะเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญ ที่จะทำให้คุณ เติบโตไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว”
ผมอยากจะเป็นกำลังใจให้กับทุกๆ คนที่ได้อ่านบทความนี้ของผมนะครับ
เอาเวลาที่จะมาถามคำถามกับตัวเองว่า เรื่องนี้มันดี หรือร้าย
มาคิดหาทาง และลงมือสร้างชีวิตในฝันของตัวเองกันดีกว่าครับ
#ถ้าคุณคิดว่าเดินต่อไม่ไหวอย่าลืมว่าคุณยังมีผม
โปรดทำตามเสียงหัวใจของคุณ… เป็นกำลังใจให้เสมอครับ